วันพุธ, สิงหาคม 30, 2549

"a ธรรม"

วุ่นจัง เมื่อตอนนั่งรถเมล์..... อยากสึก
น้องเณรเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ครับ ก่อนหน้าที่จะไป ช่วงนั้นยังอยู่ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ได้สามสี่วัน ไม่ต้องนึกเลยว่าผู้คนจากต่างจังหวัดที่พากันกันทยอยกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ จะเยอะขนาดไหน และกว่าที่น้องเณรจะไปยืนเบียดญาติโยมบนรถได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปหลายตุ่มมังกร
เหตุการณ์คราวนี้ทำให้คิดถึงเหตุการณ์ครั้งที่ขึ้นไปกรุงเทพฯกับเพื่อน หลังจากลงที่หมอชิต ก็ต้องนั่งรถเมล์ต่ออีกทอดหนึ่ง อีตอนรอรถตรงป้ายรถเมลืขอบอกว่า คนเยอะมากๆครับ เยอะจนวาดภาพไม่ออกว่าที่ยืนๆกันอยู่นี่ จะขึ้นไปยัดบนรถความยาวไม่กี่เมตรได้ยังไง
พอรถจอดเทียบไหล่ถนนเท่านั้นแหละ ผู้คนก็พากันกรูขึ้นไปยืนยัดอัดกันเป็นปลากระป่อง น้องเณรขึ้นเป็นคนสุดท้าย เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีที่ว่างเอาก็เอา ยืนก็ยืน พยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสาร บีบน้ำตาก็แล้ว ไม่เห็นใครจะนิมนต์ให้นั่ง ทำอะไรไม่ถูกก็เลยถอนหายใจแบบปลงๆ ในชะตากรรมวันนั้น ถ้าใครสังเกตอยู่บ้างก็จะเห็นเณรน้อยรูปหนึ่งแบกบาตรและกลดยืนห้อยโหนรถเมล์ไปตลอดทาง รู้สึกแย่เอามากๆ ครับ ความอายปนหงุดหงิดผุดขึ้นมาราวกับตึกในเมืองกรุง ใจร่ำร้องอยากจะสึกท่าเดียว แต่คิดไปคิดมา ถ้าจะสึกเพราะไม่อยากโหนรถเมล์ก็ใช่ที่ ก็เลยระงับไอ้ความรู้สึกแย่ๆ เอาไว้ไปตลอดทาง
แน่ล่ะ ปัญหาระหว่างพระกับสังคมเทคโนโลยีที่ซับซ้อน มันมีมากกว่าเรื่องขึ้นรถเมล์แล้วแย่งที่ไม่ทัน เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง พระก็ต้องปรับตัวเพื่อที่จะทำให้ตัวเองอยู่ใต้ในสังคมนั้นๆ การปรับตัวไม่ได้หมายถึงการวิ่งตามเพื่อที่จะทำให้ตัวเองทันสมัยขึ้นหรือ มี และ เป็น อะไรเหมือนสังคมฆราวาส แต่การปรับตัวอาจทำให้วิถีชีวิตข้อวัตรปฏิบัติเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่เพียงบุคคลเท่านั้นที่ต้องปรับตัว คำสอนก็ต้องมีการตีความให้เข้ากับสังคมที่ซับซ้อนนี้ด้วย อย่างกรณีเรื่องศีลนั้น การที่ก๊อบปี้ไรเตอรืคิดคำพูดให้สวยหรู หรือพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวมาประกอบกับสินค้านั้น ถือว่าผิดศีลข้อมุสาฯหรือไม่ อีกทั้งยังเรื่องการให้ทานในสังคมใหม่นี่ล่ะ เช่น ถวายกุฏิที่พัก จะได้อานิสงส์คือ ที่อยู่อาศัย ถวายความสะดวกสบาย ก็เข้าใจได้ว่าจะได้รถรายานพาหนะ แล้วถ้าถวายโทรศัพท์ล่ะจะได้อานิสงส์อะไรพยายามนั่งคิดกับพระอาจารย์ก็แล้ว เปิดดูหนังสืออานิสงส์ร้อยแปดก็แล้ว ไม่เห็นมีบอกไว้ สุดท้ายเห็นตรงกันว่า น่าจะได้หูทิพย์ล่ะมั้ง คิดเล่นๆ ดอกครับ
เมื่อไม่นานมานี้น้องเณรคุยกับพี่โยมพี่ อุดมคติ ถึงเรื่องพระกับท่าทีในการใช้สอยเทคโนโลยี โยมพี่เขาพูดว่า ไม่ชอบพระมีมือถือ มันยังไงไม่รู้มันดูไม่ค่อยดี และในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของน้องเณรก็ดังขึ้นมาพอดี ตายล่ะหว่า........ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก โทรมาอะไรตอนนี้ว้า โยมพี่เขาเกลียดขี้หน้าหน้าแน่ๆ เลย น้องเณรจะทำอะไรได้ครับ นอกจากส่งยิ้มแฮ่ๆ ให้โยมพี่เขาเท่านั้นเอง น้องเณรพูดคุยต่ออีกสองสามเรื่อง จึงเอ่ยปากลากลับด้วยความกระดากอาย
การที่โยมพี่อุดมคติไม่เห็นด้วย จนกระทั่งพานหาเรื่องหย่าขาดจากการเป็นชาวพุทธ เพียงเพราะเห็นภาพพระโทรศัพท์ เดินเลือกซื้อของในห้างหรือนั่งหน้าจอคอมฯ ก็เข้าใจได้ว่า เพราะภาพเหล่านี้อาจยังไม่ชินตาของโยมพี่เขานั่นเอง แล้วภาพที่ชินตาเกี่ยวกับพระในความทรงจำเก่าๆของโยมพี่ อุดมคติและคนทั่วไปเป็นแบบไหนล่ะ ก็ประมาณว่าเป็นพระนักปฏิบัติ แบกบาตรและกลดเดินธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพร เผชิญกับสัตว์ร้าย ภูตผีปีศาจพระธุดงค์รูปนี้ก็ทำให้เหล่าผีปีศาจสยบด้วยคาถาอาคม.......เอาเข้าไป ถามว่าภาพเหล่านี้มาจากไหน ตอบทันทีเลยว่า ก็มาจากนิยาย และละครหลังข่าวนั่นไง
ภาพความทรงจำเกี่ยวกับพระที่ว่ามาล้วนเป็นภาพใน อุดมคติ ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ เลยในปัจจุบัน (นอกจากละครหลังข่าวสองทุ่มภาพเหล่านี้เกาะติดแน่นในตวามทรงจำของชาวพุทธมานานกว่าหลายปี ยากที่จะแกะออกให้เห็นความเป็นจริง น้องเณรอยากให้ทุกคนมองมาตรงนี้ครับมองมาดูบริบทางสังคมให้เห็นถึงโครงสร้างและเงื่อนไขที่เป็นอยู่ แล้วจะรู้ว่า ทำไมน้องเณรต้องมีมือถือ ทำไมน้องเณรต้องโหนรถเมล์ ทำไมน้องเณรอยากสึก............

0 ความคิดเห็น: