วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 06, 2551

วิธีลบลูกศรออกจาก Shortcut ที่หน้า Desktop

วิธีลบลูกศรออกจาก Shortcut ที่หน้า Desktop

ขั้นตอนที่ 1>คลิ๊ก Start แล้วก็ Run>จากนั้นก็พิมพ์ regedit

ขั้นตอนที่ 2>ในช่องทางด้านซ้ายให้เลือก HKEY_CLASSES_ROOT แล้วก็ lnkfile>จากนั้นมาดูในช่องทางด้านขวา ให้เราทำการลบ IsShortcut ออกครับ จากนั้นก็ทำการปิดหน้าต่าง Registry Editor ไปแล้วทำการ Restart เครื่องเพื่อดูผล

เทคนิค Windows

1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าส ุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\\windows ของคุณ 5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter 12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

ไมโครซอฟท์ตอบคำถามเรื่องชื่อ Windows 7

จากข่าว และแล้วชื่อจริงของ Windows 7 คือ Windows 7 ประเด็นเรื่องชื่อ Windows 7 เป็นที่สงสัยกันมาก จนทีมงานของไมโครซอฟท์ต้องออกมาตอบคำถามผ่านบล็อก Windows Vista Team Blog ว่าเลข 7 มาจากไหน ซึ่งไล่เลขเวอร์ชัน (ของระบบ อิงตามใน System) ได้ดังนี้Windows 1.0-3.0 ไม่มีอะไรซับซ้อน ตรงไปตรงมา Windows NT - 3.1 Windows 95 - 4.0 Windows 98 - 4.0.1998 Windows 98 SE - 4.10.2222 Windows ME - 4.90.3000 Windows 2000 - 5.0 Windows XP - 5.1 Windows Vista - 6.0 ไมโครซอฟท์ให้เหตุผลที่ใช้ XP เป็น 5.1 ถึงแม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ว่า การอัพเดตเลขเวอร์ชันจะมีผลต่อความเข้ากันได้ของโปรแกรม ดังนั้น Windows 7 ถึงแม้จะเป็นวินโดวส์รุ่นที่เจ็ด แต่จะใช้เลขเวอร์ชันของระบบเป็น 6.1 แทนที่มา - Windows Vista Team Blog

ไมโครซอฟท์เผยกลุ่มเมฆของตัวเอง: Windows Azure

จากข่าวเก่า ที่ไมโครซอฟท์เตรียมเปิดตัว Cloud Service ตัวใหม่ ตอนนี้ไมโครซอฟท์ได้เผยชื่ออย่างเป็นทางการออกมาแล้วที่งาน Professional Developers Conference 2008 นั่นคือ Windows Azureบริการดังกล่าวจะมีที่ตั้งอยู่ที่ศูนย์ข้อมูลของไมโครซอฟท์เอง และสนับสนุนเทคโนโลยีหลักๆ ของไมโครซอฟท์เช่น .NET Framework และ Visual Studio 2008 ซึ่งจะทำให้นักพัฒนาที่คุ้นเคยซอฟต์แวร์เหล่านี้ปรับตัวมาใช้ Cloud ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังในอนาคตยังมีแผนที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานอื่นๆ เช่น Eclipse, Ruby, PHP และ Python ด้วยบริการนี้ยังอยู่ในช่วง Community Technology Preview โดยยังไม่กำหนดราคา ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าทดลองบริการดังกล่าวได้ที่เว็บของไมโครซอฟท์ครับ (แต่ผมเข้าไปแล้วมันยังไม่เปิดนะ)ที่มา: Microsoft Azure Services Platform via UX Evangelist

วันเสาร์, มิถุนายน 21, 2551

USB 3.0 จะมาในไม่ช้า

เจ้าโลกอย่าง Intel กำลังซุ่มปั้นมาตรฐาน USB 3.0 เพื่อรองรับโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บอกใบ้ได้เลยว่า เร็วกว่าเดิม 10 เท่า แถมกินไฟน้อยกว่าอีกต่างหากคงไม่มีมนุษย์คอมพิวเตอร์คนไหนไม่รู้จักอักษร 3 ตัวนี้ U S B มันคือผู้ยิ่งใหญ่ คือมาตรฐานในแง่ของการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้างทั้งหลาย แต่แล้วไม่นานก็กลับมีมาตรฐานใหม่ที่ชื่อ FireWire 800 โผล่ขึ้นมา ซึ่งแม้จะยังมีอุปกรณ์จำนวนเพียงหยิบมือเดียวที่รองรับ แต่มันก็ทำให้ USB ไม่สามารถคุยโวในแง่ความเร็วได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สามารถพ่วงคำว่า ?ที่สุด? เข้าไปด้วยได้แล้วและนี่เองที่เป็นที่มาของยุคที่ 3 ของ USB สงครามเกทับที่คงไม่มีวันจบสิ้น อินเทลเริ่มตีปี๊บมาตรฐานใหม่ ด้วยการจัดตั้ง SuperSpeed USB Promotions Group เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่ามาตรฐานใหม่นี้จะเป็นที่แพร่หลายใ นหมู่อุปกรณ์ต่อพ่วงไปอีกอย่างน้อย 5 ปีหัวใจสำคัญในการออกมาตรฐานใหม่ ก็คือเรื่อง Backward Compatible ซึ่งแน่นอนว่าเจ้า 3.0 ก็ย่อมต้องไม่พลาดแน่ๆ มันรองรับการทำงานกับ USB 2.0 หรือแม้แต่ 1.1 พูดในแง่ความเร็ว SuperSpeed USB จะรองรับอัตราการรับส่งข้อมูลที่ระดับสิบเท่าของ 2.0 เดิม คือเพิ่มจาก 480 Mbps กลายเป็น 4.8 Gbps ในขณะเดียวกันกลับบริโภคพลังงานน้อยลง นั่นก็หมายความว่า การก๊อบปี้หนังขนาด 27 GB เข้าไปในอุปกรณ์พกพา จะใช้เวลาเพียง 70 วินาทีเท่านั้น จากเดิมที่ต้องใช้ถึง 15 นาทีในแง่ของพลังงานแล้วก็จะประหยัดขึ้น เพราะมีการออกแบบกลไกในการสื่อสารใหม่ คอมพิวเตอร์หรือโฮสต์จะถามอุปกรณ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ว่ามีข้อมูลจะส่งเพิ่มหรือเปล่า จากนั้นก็จะไม่ถามอีกแล้ว เทียบกับแบบเดิมที่คอมพิวเตอร์จะถามอย่างไม่หยุดยั้งเป็นช่วงๆ และเมื่ออุปกรณ์มีข้อมูลใหม่จะส่ง ตัวอุปกรณ์เองนั่นแหละจะเป็นผู้แจ้งให้คอมพิวเตอร์ทราบ ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้ก็น่าจะลดการกินไฟไปได้เยอะมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ไม่มีการส่งข้อมูลกัน (idle) นอกจากนั้นระบบจัดการพลังงานของ USB 3.0 ยังสามารถจัดการกับการบริโภคพลังงานได้ในลักษณะแยกแต่ละลิงก์จา กกัน ดังนั้นก็ยิ่งประหยัดไปได้อีกระดับอีกประเด็นที่ USB ตัวใหม่อยากจะแก้สิ่งผิดพลาดในอดีตก็คือเรื่อง Virtualization ทาง Promotion Group ต้องการออกแบบให้แน่ใจว่า ซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชันในระบบ Virtual Machine สามารถเข้ามาใช้งานอุปกรณ์ USB 3.0 ได้โดยไม่ต้องมีซอฟต์แวร์ตัวกลางมาช่วยประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือเรื่องไดรเวอร์ของอุปกรณ์เก็บข้อมู ล ปัจจุบันไดรเวอร์อุปกรณ์เก็บข้อมูลของ USB 2.0 นั้นรองรับความเร็วในการสื่อสารสูงสุดแค่ที่ 32 Mbps ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการออกแบบโมเดลของไดรเวอร์ใหม่ ซึ่งแม้ว่าจริงๆ แล้ว เรื่องไดรเวอร์ของฮาร์ดดิสก์จะเป็นประเด็นที่อยู่นอกขอบข่ายการ ออกมาตรฐาน USB แต่ทางกลุ่มทำงานก็อยากจะประสานงานไปทางกลุ่มผู้สร้างไดรเวอร์ฮ าร์ดดิสก์ด้วย เพื่อให้มาตรฐาน USB ถูกใช้ประโยชน์เต็มประสิทธิภาพร่างมาตรฐานสุดท้ายของ USB 3.0 คาดว่าจะสำเร็จได้ราวกลางปี 2008 และเราน่าจะได้เริ่มเห็นอุปกรณ์ออกสู่ตลาดช่วงต้นปี 2000

วันอาทิตย์, เมษายน 20, 2551

Set edit plus compile run php

1. ไปที่ Toosl -> Configure User Tools …
2. Click ที่ปุ่ม Group Name… ครับ เราจะเปลี่ยนชื่อ "Group 1″ ให้เป็น PHP พอมันขึ้นหน้าต่าง Rename User Tool Group คุณก็ใส่คำว่า PHP ลงไปแล้ว Click ที่ Ok
3. Click ที่ปุ่ม Add Tool >> Program
4. จะ Add php.exe ให้คุณใส่ชื่ออะไรก็ได้ครับ ลงในช่อง Menu Text: จากนั้นที่ช่อง Command ให้ Click ที่ปุ่ม … ครับ เพื่อ Browser ไปยังที่อยู่ของ php.exe
5. จากนั้นมาดูที่ Argument: ให้คุณ click ที่ปุ่มลูกศรลงครับ มันจะมีตัวแปรให้เลือก ให้คุณเลือกเป็น File Name เท่านี้แหละครับ
6. ช่อง Initial directory ไป click ที่ปุ่มลูกศรลง แล้วเลือก File Directory จากนั้นคุณ Click ที่ [ ] Capture output ครับ เพื่อให้มันส่งผลของการ compile มาแสดงใน EditPlus ด้วย แล้วก็ Click Apply ครับผม

AJAX คืออะไร?

ถ้าสรุปอย่างสั้นๆ ภายในประโยคเดียว AJAX คือเทคโนโลยีที่ทำให้เว็บไม่ต้อง Reload อย่างที่เคย

ลองเปรียบเทียบกับเว็บแบบปกติดูนะครับ เมื่อเราเปิดเว็บขึ้นมาซักหน้า คลิกที่ลิงก์อันใดอันหนึ่งในหน้านั้น ขั้นตอนการทำงานที่เรามองไม่เห็นก็จะเริ่มขึ้น เว็บเบราว์เซอร์จะร้องขอข้อมูลของเว็บเพจหน้าใหม่ไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ จากนั้นเว็บเซิร์ฟเวอร์จะสร้างหน้าเว็บขึ้นมาทั้งหน้า และส่งกลับมาให้เว็บเบราว์เซอร์ในรูปข้อมูลตัวหนังสือ เป็นโค้ด HTML อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี เบราว์เซอร์จะทำการประมวลผล HTML แล้ววาดออกมาเป็นกราฟิกบนหน้าจอของผู้ใช้ โดยจะวาดแทนที่เว็บหน้าเดิมที่เราเปิดอยู่

สำหรับเว็บที่ใช้ AJAX นั้นจะต่างออกไป เมื่อคลิกที่ลิงก์ ส่วนที่ทำงานจะไม่ใช่การร้องขอแบบ HTTP ตามปกติ แต่จะเป็นตัวโค้ดของ AJAX เอง ที่ร้องขอข้อมูลด้วยวิธีที่เรียกว่า XMLHttpRequest (ซึ่งจะกล่าวต่อไป) เจ้า XMLHttpRequest จะร้องขอข้อมูลใหม่ที่ต้องการจากเซิร์ฟเวอร์ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ส่งกลับมา AJAX จะเอาข้อมูลนั้นมาแสดงผล โดยเปลี่ยนเฉพาะบางส่วนของเว็บเพจหน้านั้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง Reload หน้าใหม่


ตัวอย่างที่น่าจะเห็นภาพกว่า คือ Google Maps

เมื่อเราเปลี่ยนระดับการซูมแผนที่ หรือย้ายตำแหน่งของแผนที่ ถ้าเป็นเว็บเพจแบบดั้งเดิมจะต้องเรียกหน้าใหม่ทั้งหมด แต่ด้วย AJAX ข้อมูลใหม่ซึ่งในกรณีนี้คือภาพแผนที่ตำแหน่งอื่นจะถูกส่งเข้ามา และวาดแทนแผนที่พิกัดเก่า ทำให้เราอยู่ที่เว็บเพจหน้าเดิมได้ตลอดเวลา แค่เปลี่ยนข้อมูลของแผนที่เท่านั้น

ลองจินตนาการดูสิครับว่าการเข้ามาของ AJAX จะทำให้เว็บเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน

ถึงแม้ว่าเราจะใช้เว็บแอพพลิเคชันแทนแอพพลิเคชันแบบดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เว็บยังมีข้อจำกัดมากมาย ที่ไม่สามารถทดแทนแอพพลิเคชันแบบเดิมได้ ข้อจำกัดที่สำคัญคือพฤติกรรมของเว็บ ที่อยู่ในรูปเอกสารเป็นหน้าๆ แต่ละหน้าแยกขาดจากกัน และเชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ ด้วยไฮเปอร์ลิงก์ การใช้งานจำเป็นต้องพึ่งปุ่ม Back, Forward, Reload และ Stop ของเว็บเบราว์เซอร์เป็นหลัก ทำให้ขาดความยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการตอบสนอง อย่างที่แอพพลิเคชันแบบเดิมมีให้เรามาตลอด ไม่เชื่อลองเปรียบเทียบการเขียนอีเมลแบบเว็บเมล กับการเขียนอีเมลในโปรแกรมอย่าง Outlook หรือ Thunderbird ดูสิครับว่าต่างกันขนาดไหน


AJAX ทำให้เว็บมีความสามารถเข้าใกล้กับแอพพลิเคชันแบบเดิมมากขึ้น เพราะไม่ต้อง Reload หน้าใหม่ทุกครั้งเมื่อเว็บเพจมีการเปลี่ยนแปลง และบวกกับลูกเล่นต่างๆ ที่สุดแล้วแต่นักพัฒนาเว็บจะขุดมาให้เราได้ใช้ ยิ่งทำให้เว็บแอพพลิเคชันใช้งานได้จริงเพิ่มมากขึ้นไปอีก ทุกวันนี้ความรู้สึกของผมเองที่ใช้ Gmail หรือ Yahoo! Mail ตัวใหม่นั้นแทบไม่ต่างกับการใช้ Outlook เลย จะดีกว่าเสียอีกตรงที่ใช้เครื่องไหนก็ได้ ไม่ต้องลงโปรแกรม ขอมีเพียงแค่เว็บเบราว์เซอร์ก็พอเพียง

AJAX ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

จริงๆ แล้ว AJAX ไม่ใช่ของใหม่อะไรเลย ตัวมันเองไม่ใช้เทคโนโลยีเดี่ยวๆ ด้วยซ้ำ AJAX เป็นชื่อเรียกการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น XML, JavaScript หรือของใหม่หน่อยอย่าง XMLHttpRequest

เทคโนโลยีที่ประกอบกันเป็น AJAX มีทั้งหมด 5 ตัวXHTML และ CSS ซึ่งใช้ในการแสดงผลหน้าเว็บตามปกติDOM หรือ Document Object Model ใช้กำหนดตำแหน่งในเว็บเพจ ที่เราต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ต้อง Reload เช่น ระบุว่าให้แก้ข้อมูลที่ table ชื่ออะไร เป็นต้นXML ใช้ในการเก็บข้อมูลดิบXMLHttpRequest ใช้ในการเรียกข้อมูลแบบไม่ต้องเรียกเว็บใหม่ทั้งหน้าและ JavaScript ในการเชื่อมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเห็นว่าทั้ง XHTML, CSS, XML, JavaScript และ DOM เป็นเทคโนโลยีเว็บที่มีมานานแล้ว XMLHttpRequest เองก็ไม่ใช่ของใหม่ ไมโครซอฟท์คิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย Internet Explorer 5.0 ในปี ค.ศ. 1999 ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีที่ยอมรับโดย W3C แต่ปัจจุบันเว็บเบราว์เซอร์หลักแทบทุกตัวก็รองรับ XMLHttpRequest เป็นอย่างดีการที่เว็บเบราเซอร์ส่วนมากสนับสนุนเทคโนโลยีในชุด AJAX นี้ทำให้ AJAX ได้เปรียบเทคโนโลยีอินเตอร์แอคทิฟแบบอื่นๆ (Flash หรือ Java Applet) เป็นอย่างมาก เพราะไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Flash Player Plugin หรือ Java Runtime Environment ก่อนแม้แต่น้อยมีเว็บจำนวนมากที่ใช้เทคโนโลยีทั้งหมดทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครคิดจะเรียกชื่อการทำงานของมันเท่านั้น เมื่อเว็บสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้นปี ค.ศ. 2005 Jesse James Garrett แห่งบริษัท Adaptive Path ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเริ่มต้นเรียกมันว่า AJAX ซึ่งกลายเป็นคำฮิตนับตั้งแต่ตอนนั้นAJAX ในความหมายของ Garrett ย่อมาจาก Asynchronous JavaScript And XML คำว่า Asynchronous นั้นหมายถึงการเรียกข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เมื่อไรก็ได้ โดยไม่ต้องเรียกใหม่ทั้งหมดเหมือนเว็บแบบดั้งเดิม

ใครใช้ AJAX บ้าง?

ถ้าจะให้ไล่รายชื่อจริงๆ มีเยอะมากจนไล่ไม่หมด แต่บริษัทใหญ่ 3 แห่งที่นำ AJAX มาใช้ ก็หนีไม่พ้น Google, Yahoo! และไมโครซอฟท์ล่ะครับบริการของ Google หลายอย่างที่ใช้ AJAX และเรามักจะคุ้นมากกว่าของค่ายอื่น เริ่มจากหัวหอกคือ Google Maps (ซึ่งรวมถึง Google Local) และ Gmail ไปจนบริการที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่าง Google Suggest และ Writely เวิร์ดโปรเซสเซอร์ผ่านเว็บที่ Google เพิ่งซื้อกิจการไปส่วนฝั่ง Yahoo! ดูจะมีชื่อเสียงห่างไกลจาก Google อยู่บ้าง แต่ความจริง Yahoo! เป็นค่ายที่ลงทุนใน AJAX หนักมาก นอกจากบริการของ Yahoo! เองจะใช้ AJAX แล้ว Yahoo! ยังเข้าซื้อกิจการเว็บจำนวนมากที่เป็นผู้นำในด้านนี้อีกด้วย ตัวอย่างคือ บริการเก็บรูปออนไลน์ Flickr เป็นต้นยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์นั้นดูจะเริ่มต้นช้าไปนิดเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งสอง แต่ตอนนี้ไมโครซอฟท์มีบริการในตระกูล Windows Live อีกจำนวนมากที่กำลังทยอยเปิดตัว MSN Virtual Earth ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Google Maps ก็ใช้ AJAX เช่นกันนอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์หน้าใหม่จำนวนมากที่นำเอา AJAX มาเป็นจุดขายในการสร้างเว็บแอพพลิเคชัน เช่น เว็บพอร์ทัลNetvibes, เว็บจัดการโครงการ Basecamp เป็นต้น เว็บไซต์แบบเดิมๆ เองก็นำเอา AJAX มาใส่เป็นลูกเล่นด้วยเช่นกัน ตัวอย่างคือการทำ Live Comment (ตอบคอมเมนต์โดยไม่ต้อง Reload หน้าใหม่) หรือ Live Search (พิมพ์แล้วเห็นผลการค้นหาทันที)

เริ่มต้นกับ AJAX

เราสามารถเริ่มเขียนเว็บแบบ AJAX ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้อะไรช่วย เพราะ AJAX ก็คือการเขียนเว็บที่ใช้ JavaScript เรียกข้อมูลด้วยวิธี XMLHttpRequest เท่านั้น อย่างไรก็ตามเริ่มมีเครื่องมือช่วยเหลือในการสร้างเว็บแบบ AJAX จำนวนมากกำลังออกมาในท้องตลาด

AJAX Toolkit ที่น่าสนใจ

IBM AJAX Toolkit Framework – ใช้ร่วมกับ Eclipse
http://www.eclipse.org/proposals/atf

SAJAX – Simple AJAX Toolkit
http://www.modernmethod.com/sajax

Zimbra AJAX Toolkit
http://www.zimbra.com/community/ajaxtk_download.html


Microsoft “Atlas”
http://www.asp.net/ajax/Default.aspx

Yahoo! UI Library
http://developer.yahoo.com/yui/


script.aculo.us! - เป็นไลบรารีจาวาสคริปต์สำหรับสร้างเอฟเฟกต์
http://script.aculo.us/


ไม่จำเป็นต้องใช้ AJAX เสมอไป

การนำ AJAX มาใช้ทำให้เว็บมีพฤติกรรมการใช้งานใกล้เคียงกับแอพพลิเคชันมากขึ้น ทำให้ใช้ง่ายขึ้นก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พฤติกรรมการใช้เว็บเบราว์เซอร์เปลี่ยนไปด้วย ผู้ใช้เว็บที่คุ้นเคยกับการใช้ปุ่ม Back เพื่อถอยหลัง ใช้ปุ่ม Reload เพื่อเรียกหน้าใหม่ เก็บหน้าที่ชอบไว้ใน Bookmarks จะต้องเปลี่ยนการใช้งานทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยสมมติว่าเว็บไซต์แห่งหนึ่งใช้ AJAX ทั้งหมดในการเรียกข้อมูล เว็บนั้นจะมีเพียงหน้าแรกเพียงหน้าเดียว (เพราะไม่ต้องเรียกหน้าใหม่ขึ้นมาแทนที่) ในกรณีแบบนี้เมื่อกดลิงก์อะไรไป จะไม่สามารถกด Back เพื่อย้อนกลับไปสถานะเดิมได้ ผู้สร้างเว็บต้องเตรียมวิธีการยกเลิกหรือย้อนกลับเอาไว้รอเมื่อกดปุ่ม Reload ข้อมูลเว็บจะกลับไปสู่สถานะเริ่มต้นทั้งหมด ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยระบบสมาชิก และจำค่าของสมาชิกแต่ละคนผู้อ่านจะไม่สามารถเก็บหน้าที่สนใจไว้ใน Bookmarks ได้ เพราะเว็บแห่งนี้มีเพียงหน้าเดียวนอกจากปัญหาด้านพฤติกรรมในการใช้งานแล้ว AJAX ยังมีปัญหาถ้าเจอกับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่รวดเร็วไม่เพียงพอ ซึ่งจะทำให้ XMLHttpRequest ตีความการตอบสนองของผู้ใช้หรือเซิร์ฟเวอร์ผิดได้ และการใช้ AJAX จะทำให้เว็บเพจมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งยากต่อนักพัฒนาเว็บในการตรวจสอบข้อผิดพลาด ดังนั้นควรใช้ AJAX เท่าที่จำเป็น

วันเสาร์, เมษายน 19, 2551

ปัญหาจอฟ้า (Blue Screen)

รวมโค้ดที่ขึ้น จะได้หาทางแก้ถูกทางครับคำว่า Blue Screen คนเล่นคอม จะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับเครื่องของตน เพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มมีปัญหา แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขรหัสที่เราๆ ท่านๆ ต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไร ผมไปอ่านเจอมาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร ก็ลองแปลมาให้คุณๆ ได้อ่าน คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screen จริงๆมีเกินร้อยตัว

1.(stop code 0X000000BE) Attempted Write To Readonly Memoryสาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ

2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Callerสาเหตุและแนวทางแก้ไข: ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส

3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Errorสาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์ดแวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย

4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equalสาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ

6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operationsสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Deviceสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบmulti OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน config ของ OS ขัดแย้งกันอีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์เวอร์รุ่นล่าสุด

9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Errorสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย


10. (stop code 0X00000077) Kernel Stack Inpage Errorสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9

11. (stop code 0X0000001E) Kmode Exception Not Handled สาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้นถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ

12. (stop code 0X00000079)Mismatched Halสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เสีย

13. (stop code 0X0000003F)No More System PTEsสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitorsถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM 128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง

14. (stop code 0X00000024) NTFS File Systemสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application

15. (stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Areaสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่


16. (stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatchสาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15


17. (stop code 0X000000EA) Thread Stuck In Device Driver สาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้

1.ให้ดูที่ power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณหรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ
2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแน่ใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
4. ดูที่ bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปกของการ์ดหรือไม่
5. เช็คดูที่ผู้ผลิตเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ
6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดยไปปิดที่ BIOS


18. (stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap สาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume สาเหตุและแนวทางแก้ไข:อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึ่งในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน

วันพุธ, เมษายน 16, 2551

ฆ่าไวรัส AdobeR.exe Win32/RJump.A

ฆ่าไวรัส AdobeR.exe Win32/RJump.A

วิธีกำจัดไวรัส AdobeR.exe Win32/RJump.A
ไวรัสตัวนี้ผมยังไม่เป็นมีใครเขียนวิธีแก้อย่างละเอียดครับ
ผมก็เลยช่วยเขียนแจกทุกที่โดนไวรัสตัวนี้ครับ
ไวรัสตัวนี้เท่าผมเคยเจอเนี่ยติดจากแฮนดี้ไดว์ฟครับ
ก่อนจะบอกวิธีแก้บอกวิธีป้องกันก่อนละกันนะครับ
เราควรปิดไม่ให้แฮนดี้ไดว์ฟเปิดเองอัตโนมัติเวลาเสียบ
เพราะปกติเสียบแฮนดี้ไดว์ฟปุ๊บ ก็จะเด้งขึ้นขึ้นมา
ถามเราว่าจะเปิดแฮนดี้ไดว์ฟด้วยโปรแกรมอะไรซึ่งหากว่าในแฮนดี้ไดว์ฟนั้นมีไฟล์Autorun.inf
อยู่ มันก็จะเปิดตามคำสั่งที่อยู่ในไฟล์Autorun.infโดยอัตโนมัต
ซึ่งแล้วแต่ไวรัสว่ามันจะเขียนคำสั่งให้รันตัวไหนขึ้นมาไฟล์Autorun.infสามารถเปิดอ่านได้โดยดับเบิ้ลคลิกได้เลยไม่เป็นอันตรายครับ
วิธีปิดไม่ให้แฮนดี้ไดว์ฟเปิดเองอัตโนมัต
Start ----> Run ---> gpedit.msc ---->Computer
Configuration--->Administrative Templetes ----> system
--->ดูในช่องขวามือ ดับเบิ้ลคลิกคำว่า
Turn Off Auto play เลือกเป็น Enabled ในช่อง Turn Off Auto playon =
All drives กด OK เสร็จครับ แล้วเวลาเสียบแฮนดี้ไดว์ฟเข้า My computer
เพื่อความปลอดภัยอย่าไปดับเบิ้ลคลิกแฮนดี้ไดว์ฟนะครับ
ควรคลิกขวาดูว่ามีคำว่า Auto หรือ Auto run ไหม หากมีอะใช่เลย
มีไวรัสแน่นอนครับ
ให้เราเลือกOpenนะครับ แล้วเราก็ไปลบไฟล์ ไปลบไฟล์ไวรัสในนั้นกันครับ
โดย ไปที่ My computer -->Tools --> Folder options -->View -->
หัวข้อ Hiden files and folder ใต้นั้นให้ติ๊กเลือก Show hiden file
and folder แล้วติ๊กถูกสองบรรทัดล่างออกด้วยครับ แล้วOK
(อย่าทำกลับคืนนะครับ)
แล้วคลิกขวาที่แฮนดี้ไดว์ฟ เลือก Open แล้วลบไฟล์ Autorun.inf
Adober.exe msvcr71.dll ravmonlog สังเกตง่ายมันจะจางๆอะครับ
หากลบไม่ได้แสดงว่าไวรัสมันทำงานอยู่นั่นหมายความว่าคุณเผลอดับเบิ้ลคลิกแฮนดี้ไดว์ฟ
ให้คุณกด Ctrl+Alt+Delete โปรแกรม Task Manager จะขึ้นมานะครับ
หลังจากนั้นให้คุณเลือกใน แถบProcesses หาโปรแกรมที่ชื่อว่า AdobeR.exe
หลังจากนั้นให้คุณกด End Task แล้วกด OKได้เลยครับ
แล้วก็ไปลบไฟล์AdobeR.exe ใน C:\WINDOWS\
แล้วก็ไปลบคำสั่งในรีจิสทรี้ครับ โดย
Start ----> Run --->regedit
-->HKEY_LOCAL_MACHINE/Software/Microsoft/Windows/CurrentVersion/Run
แล้วมองขวามือลบDWORDชื่อว่า RAVD
แล้วก็ปิดครับ ก็เสร็จแล้วครับ

วันอังคาร, เมษายน 15, 2551

สุดยอดทิปครับลงวินโด้ใหม่โดยไม่ต้องฟอเมตไม่ต้องลงโปรแกรมใหม่เจ๋ง!!!

ลง Windows อย่างเดียว
1. เปิดเครื่องบูตเข้าสู่วินโดว์สตามปกติ
2. นำแผ่น Setup CD ของวินโดว์สใส่ลงในไดรฟ์ซีดีรอม
3. คลิกปุ่ม Start -> Run
4. พิมพ์คำสั่ง E:\i386\winnt32 /unattend แล้วคลิกปุ่ม OK (ในกรณีที่ ไดรฟ์ซีดีรอมเป็นไดรฟ์ E ถ้าเป็นไดร์ฟอื่นก็ให้แก้เป็นตามนั่นเช่น C:\ or D:\)
5. โปรแกรมติดตั้งจะเริ่มดำเนินการติดตั้งวินโดว์สให้ให ม่โดยยังคงรักษาค่าการทำงานต่างๆ เอาไว้เหมือนเดิม

วิธีปลดบล๊อกความเร็วเน็ต

วิธีปลดบล๊อกความเร็วเน็ต
โดยปกติแล้ว window จะ บล็อกความเร็วเน็ต ไว้ 20 เปอร์เซ็นต์ เรามีวิธีปลดบล๊อกได้ด้งนี้ติดจรวดเล่นอินเตอร์เน็ตให้กับ Windows XPการใช้งานอินตอร์เน็ตบางครั้งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายด้าน เราก็ พยายามหาหนทางปรับแต่งให้ถูกใจและถูกเงิน วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้การท่องอินตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
1. คลิกที่ปุ่ม Start
2. เลือกที่แถบรายการ Run
3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วคลิก OK
4. จะแสดงหน้าต่างของการปรับแต่ง Group Policy
5. ที่ Computer Configaration เลือกแถบ Administrative Templates
6. หัวข้อ Network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
7. มองหน้าต่างด้านขวามือ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwidth
8. จะปรากฎกรอบหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwidth Properties
9. เลือกแถบ Setting คลิกที่ช่อง Enable
10. ในช่อง bandwidth limit (%) : ปรับค่าเป็น 0
11. คลิก OK เพื่อยืนยันการใช้งาน แค่นี้เองลองนำไช้ดู
ลองปรับเป็น 1 น่าจะเร็วกว่า

โกงพื้นที่cd

โกงพื้นที่cd แต่เดียวก่อนเรามีวิธีทำให้ซีดีจุเพิ่มขึ้น10-20%เลยทีเดียว
ขึ้นอยู่กับซีดีแต่ละเเผ่นด้วยครับ ว่าจะทำได้เท่าไหร่ครับ
ไรด์เเผ่นให้ได้ 830 เมก เต็มๆๆๆ
1.เปิด โปรแกรม Nero Express
2.คลิก More เลือก Configure
3.General => status bar : yellow marker ใส่เป็น 80 : red marker ใส่เป็น 99
4. กด Apply => OK.
5. Expert Features => เลือกเครื่องหมายถูก หน้า Enable overburn Disk- at- once
6. ตรง Maximum CD size : ใส่ 99 (min)
7. กด Apply => OK.
8. เลือก File ที่ต้องการ Burn => finished => next
9. กด More ตรง Write Method เลือก Disk-at-once
10. Burn
11. จะมี ข้อความขึ้นมาหน้าจอ ถามว่า Over Burn Writing Prevention better than cure เลือก Write Overburn Disc
12. รอ จนมีข้อความ completed successfully

Boot ขีดเดียว Shutdown อย่างเร็ว

1. เปิดNotepad ขึ้นมานะครับ ถ้าใครไม่รู้จัก Notepad ก็ไม่ต้องทำนะครับ

2. พิมพ์ลงไปแบบนี้ หรือไม่ก็ Copy ไปวางเลยครับ ดูภาพประกอบไปด้วยก็ได้ครับdel c:\windows\prefetch\ntosboot-*.* /q


3. เซฟไฟล์เป็นนามสกุล .bat เซฟเอาไว้ตรงไหนก็ได้ แต่ผมเอาไว้ใน Drive C: จะได้ไม่มั่ว ผมเซฟเป็นชื่อว่า bootfast.bat






4. Start > Run พิมพ์ลงไปว่า gpedit.msc แล้ว Enter หรือ คลิก Ok





5. พอหน้าต่าง Group policy ไปที่ Computer Configuration > Windows Setting แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ Scripts (Startup / Shutdown) แล้วด้านขวา ดับเบิ้ลคลิก Shutdown ในหน้าต่าง Shutdown Property คลิก Add ใน Add a script คลิก Browse... แล้วไปเลือกไฟล์ .bat ที่เราทำเอาไว้ในตอนแรกคือ bootfast.bat จำได้มั๊ยน้อว่าเซฟไว้ไหน... แล้วก็ Open > Ok > Ok แล้วปิดหน้าต่าง




6. คลิกขวา My computer > Property > Hardware > Device Manager

7.ในส่วนของ Harddisk ทั้ง primary IDE chennel และ secondary IDE channel เปิดขึ้นมาทีละอัน ในช่อง advance setting และ device type ให้เลือกเป็น none ให้หมด(บางอันเลือกไม่ได้นะครับ)


8.ลอง restart เครื่อง เทสดูได้เลยครับ

วันจันทร์, เมษายน 14, 2551

Ratio คืออะไร ทำไมต้องมี

Raito คือ ค่า Upload หาร Download = Ratioเช่น หากค่า Upload ของคุณมีค่า 700 MB ค่า Download ของคุณมีค่า 900 MBให้นำ 700 หาร 900 จะได้ Raito = 0.875 (หรือ 87.5%)นั่นคือคุณมีแต้มทั้งหมด 0.875 แต้ม เพื่อใช้ในการ Download ตามเงื่อนไขของ Trackerที่ต้องมี Ratio ก็เพื่อป้องกันปลิง(มาดูดอย่างเดียวไม่ยอมปล่อยให้คนอื่น)ถ้ามีปลิงมากๆ ก็จะคล้าย P2P แบบเดิมคือมีแต่คนดูด ไม่มีคนปล่อย ทำให้โหลดไฟล์กันได้ช้ามากๆส่วนมาก Tracker จะกำหนดต้องมี Ratio มากกว่า 0.3-0.5 ถึงจะสามารถโหลดไฟล์ใหม่ได้Ratio ที่ดีคือ 1 หรือใกล้เคียง หมายความว่าคุณโหลดไฟล์มาเท่าไหร่ ก็ส่งต่อให้คนอื่นเท่านั้น

Seeders และ Leechers คืออะไร

Seeder เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้แจก" มีหน้าที่แจกไฟล์ หรือ Upload เท่านั้น ไม่สามารถ Download ได้Leecher เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้โหลด" หรือ ตามคำแปลครับ "ปลิง" มีหน้าที่ดูดอย่างเดียว พร้อมกันนั้นทำหน้าที่แจกไฟล์ที่โหลดมาเสร็จแล้วบางส่วนไปในตัวด้วย ซึ่ง Torrent จะทำหน้าที่ในการแยกไฟล์ใหญ่ๆ ไฟล์หนึ่งออกเป็นหลายๆ ชิ้นด้วยกันเรียกได้ว่า Pieces- ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือ เป็นต้น seeder คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆ สามารถ Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน นอกจาก/หรือ มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ- ขณะที่คุณทำหน้าที่เป็น Seeder นั้น คุณควรแจกไฟล์ หรือ ทำหน้าที่เป็น "ผู้แจก" ที่ดีให้ในปริมาณที่เท่าๆ กับที่คุณโหลด (Leech) มาจากคนอื่นๆ เช่น หากคุณโหลดมา 700MB คุณควรจะเปิดค้างไว้ปล่อยให้ทำการ Seed ต่อไปจนถึง 700MB เท่าๆ กับที่คุณโหลดมา (ถ้าแจกได้เท่ากับที่โหลดมาก็จะถือว่าเป็นอัตราส่วน =100%)

Tracker คืออะไร?

Tracker คือ เครื่องมือ หรือ โปรแกรมในเน็ตที่ทำหน้าที่จัดการประสานการระหว่างผู้ที่ต่อเข้า BitTorrent เมื่อคุณเปิดไฟล์ torrent ตัว client ก็จะติดต่อกับ tracker (ที่ระบุใน torrent) เพื่อขอรายชื่อผู้ที่อยู่ใน swarm ของไฟล์นั้นๆในปัจจุบัน ตัว tracker จะรู้ว่าสมาชิกของ swarm มีชิ้นส่วนไหนของไฟล์รวมทั้งสถานะของสมาชิกแต่ละคน หาก tracker เกิดขัดข้องก็จะไม่สามารถเริ่มโหลดไฟล์นั้นได้ แต่หากโหลดอยู่แล้วก็สามารถโหลดต่อได้Tracker จะมี 2 แบบคือ
1.ระบบปิด ต้องเป็น Member คิด Ratio ส่วนมากจะเป็นระบบนี้ ข้อดีโหลดได้ไว คิด Ratio ทำให้คนอยากปล่อย
2.ระบบเปิด ไม่ต้องเป็น Member ไม่คิด Ratio เช่น Suprnova.org ข้อเสีย ปลิงเยอะ โหลดช้า

BitTorrent ต่างจาก P2P แบบอื่นอย่างไร

P2P แบบอื่นเช่น WinMX,eMule,Kaza,Napster จะเป็นการติดต่อแค่ 1-1 เท่านั้นคือ 1 ไฟล์ จะมีแค่เพียง 1 Connection ระหว่าง ผู้ส่ง กับผู้รับ เท่านั้น ทำให้มีความเร็วต่ำโดยเฉพาะถ้าคนปล่อยไฟล์ โดนคนดูดไฟล์หลายๆคนรุมดูดพร้อมกัน จะช้ามากๆและลักษณะการส่งจะเป็นแบบทิศทางเดียว คือ ผู้ส่ง -> ผู้รับจึงเหมาะกับแชร์ไฟล์ขนาดเล็กๆเท่านั้นเช่น ไฟล์ MP3 รูป zipขนาดไม่เกิน10MBT เป็นการรวมคนปล่อย และคนดูด ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง เข้ามารวมไว้ด้วยกันจะมีการติดต่อตามจำนวนคนที่แชร์ไฟล์นั้นอยู่ คือ 1 ไฟล์ จะมีหลาย Connection ทำให้มีความเร็วสูงแบบเดิมจะรับไฟล์ได้จากคนปล่อยเพียงคนเดียว ส่วน BT ก็จะรับไฟล์จากคนปล่อยได้หลายคนลักษณะการส่งจะเป็นแบบส่งต่อ คือคนที่ได้รับไฟล์แล้วก็จะส่งไฟล์ต่อไปให้คนที่ยังไม่ได้อีกทีคือแทนที่จะเป็นคนรับอย่างเดียว ก็จะเป็นทั้งรับ และปล่อย ไปพร้อมๆกัน เวลารุมดูดไฟล์พร้อมกันจึงไม่ช้าเหมาะกับการแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 10M ขึ้นไปจนถึง 10G หรือมากกว่านี้

BitTorrent (BT) คืออะไร?

Bittorrent เป็นมาตรฐาน P2P (peer to peer) ที่ใช้เพื่อรับส่งไฟล์ระหว่างผู้ใช้ Internet ด้วยกัน เครื่องผู้ใช้จะติดต่อกับเครื่องของผู้ใช้อื่นเพื่อรับส่งชิ้นส่วนของไฟล์ จะมีเครื่องมือหนึ่ง หรือ โปรแกรม (เรียกว่า Tracker) ทำหน้าที่เป็นตัวจัดระบบการสื่อสารระหว่างผู้ใช้เหล่านั้น(peers) ตัว Tracker จะทำหน้าที่จัดการเท่านั้น จะไม่มีข้อมูลของไฟล์ที่รับส่งดังนั้น Tracker จึงไม่ต้องมีเน็ตที่แรงเพราะไม่ได้รับส่งไฟล์เอง สิ่งที่ทำให้ BT อยู่ได้ก็คือหลักการที่ผู้ใช้ควรจะส่งไฟล์ขณะเดียวกับที่รับไฟล์ หากมีผู้ใช้มากก็จะเร็วมาก การทำงานของ BT ก็คือการหั่นไฟล์นึงเป็นหลายๆ ส่วน แล้วส่งคนละส่วนไปยังผู้รับหลายคน พอผู้รับเหล่านั้นได้รับส่วนเหล่านั้นก็จะสามารถรับส่งกันเองเพราะต่างกันต่างมีชิ้นส่วนที่คนอื่นไม่มี ทำให้ไม่ต้องพึ่งผู้ส่งผู้เดียว

แก้ไขปัญหาชัทดาวน์เครื่อง แล้วค้างหรือไม่ยอมปิด

แก้ไขปัญหาชัทดาวน์เครื่อง แล้วค้างหรือไม่ยอมปิด
การแก้ไขปัญหานี้ ให้คุณตรวจสอบและทำตามขั้นตอนต่างๆ ต่อจากนี้นะครับ
[[1]] วิธีแรก ก็คือให้เข้าไปที่เมนู RUN พิมพ์คำสั่ง msconfig ตัวโปรแกรม System Configuration Utility
จะเปิดมาดังภาพด้านล่างนี้ ให้คุณคลิกเข้าไปที่ปุ่ม Advanced... อีกทีหนึ่งครับ (ดูลูกศร)
[[2]]ให้ตรวจดูตรงหัวข้อ Disable fast shutdown มีเครื่องหมายถูกหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้คลิกเครื่องหมายถูกครับ
[[3]] เมื่อคลิกเสร็จก็ให้คลิกปุ่ม OK ด้านล่างจะกลับมาหน้าจอปกติ(ดูภาพแรก) คุณก็คลิกปุ่ม OK อีกครั้งหนึ่ง
วินโดวส์ จะถามว่าต้องการชัทดาวน์หรือไม่ เพื่อให้ค่าที่คุณตั้งไว้ทำงาน ตรงนี้ถ้าคุณไม่รีบทำงานอะไรนักก็คลิก
yes ไปครับ
[[4]] ขั้นตอนถัดมาให้คุณ เข้าไปที่ คอนโทรล พาเนล (Control Panel ) มองหาไอคอน Sounds ด้านล่างนี้ครับ
สำหรับรูปของผมจะเป็นไอคอนของวินโดวส์ 98 se รูปไอคอนของแต่ละวินโดวส์จะไม่เหมือนกันนะครับ
เมื่อหาเจอแล้วก็ดับเบิลคลิกที่ไอคอน Sounds เพื่อเข้าไปตั้งค่าบางอย่าง เป็นค่าอะไรนั้นดูด้านล่างนี้ครับ
[[5]] ให้ตั้งค่า ส่วนของ Events: (ส่วนสำหรับกำหนดเสียงในเหตุการณ์ต่าง) มองหาคำว่า Exit Windows
เมื่อเจอแล้ว ให้คลิกหนึ่งครั้ง แล้วตั้งค่าตรงส่วนของ Name: ให้มีค่าเป็น (None) ครับ
พอตั้งเสร็จแล้วก็คลิกปุ่ม OK
บางท่านอาจจะสงสัยว่า เครื่องค้างตอนสั่งชัทดาวน์เกี่ยวกับเสียงได้ยังไง คำตอบก็คือ บางครั้ง (บางครั้งเท่านั้น)
ไฟล์เสียงอาจจะเกิดความเสียหาย ทำให้เล่นเพลงไม่ได้ ตัววินโดวส์ก็มีความพยายามจะเล่นอยู่นั่นแหละ จนทำให้
มันไม่ยอมปิดเครื่องให้เรา หรือไดรเวอร์การ์ดเสียงบางตัวมีปัญหากับการคืนค่าต่างๆ ตอนปิดวินโดวส์ก็มีนะครับ
[[6]] หากคุณลองแก้ไขตามสองวิธีนี้ยังไม่หาย ปัญหาของคุณอาจจะเกิดมาจาก
1. ทำการโอเวอร์คล็อค (ลดพวกความเร็วบัส หรือ ไม่ต้องโอเวอร์คล็อคมันเลย)
2. แรมมีปัญหา (ลองย้ายสล็อตที่เสียบแรมดูก่อน หรือไม่ก็ถอดออกมาทำความสะอาด)
3. ไดเวอร์บางตัวเช่น ของการ์ดจอ, การ์ดแลน, การ์ดเสียง ตัวใดตัวหนึ่งงอแงขึ้นมา ทางแก้ไขให้อัปเดทหรือว่าลง
ไดรเวอร์ใหม่เสียนะครับ (ถ้าไม่รู้ว่าจะลงอันไหน ก็ลงไดรเวอร์ที่ผมว่ามาทั้งหมดหละครับ)
4. วินโดวส์มีปัญหาเสียแล้ว ลองลงวินโดวส์ทับเข้าไปใหม่ ถ้าจะให้แน่ๆ ก็ฟอร์แมทลงใหม่ครับ
5. อาจจะมีโปรแกรมบางตัวสร้างปัญหาค้างอยู่ในหน่วยความจำ แล้ววินโดวส์พยายามจะปิดมัน ทางแก้ไข
ให้คุณดาวน์โหลด registry ที่ผมทำไว้ ไปลองแก้ไขดูนะครับ รีจีสตี้นี้จะปิดโปรแกรมที่ไม่ค้าง
สามารถใช้ได้ทั้งวินโดวส์ ตระกูล 9x และวินโดวส์ XP

การลงวินโดวส์ใหม่ ก็มีวิธีดังนี้

การลงวินโดวส์ใหม่ ก็มีวิธีดังนี้
1. เปิดเครื่อง สั่ง BIOS ให้ boot จาก CD-ROM (boot from CD-ROMอันดับแรก)หลังจาก save BIOS และ exit กดEnterแล้วเครื่องจะ restart
2. ใส่ แผ่น windows XP เข้าไปใน CD-ROM Drive
3. จะพบข้อความ press any key to boot from CD.. ให้กดปุ่ม Enterเพื่อ boot เครื่องจาก CD-ROM Widows XP
4. จะมีการ copy ไฟล์หรือข้อมูลบางส่วน ให้คุณรอไปก่อน
5. เมื่อพบหน้าต่าง welcome to setup ให้เริ่มติดตั้งได้ทันทีโดยกดปุ่ม Enter เพื่อทำขั้นตอนต่อไป
6. จะปรากฏข้อความเกี่ยวกับการใช้งาน windows XP (หน้าจอเขียนว่า Windows XP Licensing)ให้กดปุ่ม F8 เพื่อยอมรับรายละเอียดดังกล่าว
7. พอมาถึงขั้นตอนนี้ จะเป็นการเลือกติดตั้ง Windows XP ลงใน partition ใดคุณจะพบคำสั่งให้เลือก 3 แบบคือ-ติดตั้งใน partition ที่เลือกไว้ ให้ กด Enter-สร้าง partition ใหม่กด C-ลบ partition นั้นกด Dผมสมมติว่าคุณจะเลือกลงใน partition ที่เลือกไว้คือ Drive C นะให้คุณกด Enter เพื่อติดตั้งที่ Drive C
8. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการ โดยกดปุ่มลูกศรขึ้นลง หลังจากนั้นกด Enter
9. ปรากฏหน้าจอให้ format (to continue and format the partition ,press Enter) ให้กด Enter
10. Windows จะเริ่ม format
11. หลังจาก format แล้วมันก็จะ copy ข้อมูลลงใน HDD
12. หลังจากนั้นปรากฏหน้าจอ This partition of setup has completed……ให้กดปุ่ม Enter เพื่อ restart เครื่อง
13. หลังจากเครื่องเริ่ม restart อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกว่าจะขึ้นหน้าจอ Windows XP Professional
14. จะเห็นวินโดว์ตรวจสอบค่าต่างๆ พร้อมทั้งบอกข้อดีอะไรของมันไปตามเรื่องคุณก็อ่านเล่นๆ ไปพลางๆ ก่อนได้
15. รอสักหน่อยก็จะปรากฏหน้าต่าง Regional and language Option ออกมา คลิ๊กที่แท็บ Customize
16. คลิ๊กที่แท็บ languages
17. คลิ๊กถูกที่ข้อความ install files for complex scipt….แล้วตอบ OKและคลิ๊กถูกที่ install files for East Asian language แล้วตอบ OK
18. จากนั้น คลิ๊กที่แท็บ advanced
19. เลือกภาษาไทย แล้วกด Apply เครื่องจะ copy ไฟล์ font ภาษาไทย (ขั้นตอนนี้ใจเย็นรอสักครู่)
20. หลังจากนั้นคลิ๊กที่แท็บ regional option แล้วเลือกไทย location ก็เลือกเป็น Thailand
21. คลิ๊ก next
22. จะปรากฏหน้าต่าง personalize Your softwareให้คุณตั้งชื่อตามใจที่คุณต้องการ ส่วนช่อง Organization เลือกพิมพ์เป็นอะไรก็ได้
23. คลิ๊ก next
24. กรอกหมายเลขแผ่น windows XP ซึ่งมี 25 ตัว
25. คลิ๊ก next
26. กรอกชื่อ computer ของคุณ ที่ช่อง computer name
27. ตั้ง password หรือไม่ตั้งก็ได้ตามใจ
28. คลิ๊ก next
29. ตั้งวันที่ให้ตรง ที่ time zone เลือก GMT +7 Bangkok,Hanoi,Jakata
30. คลิ๊ก next
31. เลือการติดตั้งแบบ Typical
32. คลิ๊ก next
33. กรอกข้อมูลเครือข่ายกรณีที่คุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายโดยใส่ชื่อเครือข่ายของคุณถ้าคุณมี modem มันก็ให้คุณ set ค่าต่างๆ ขณะนั้นเลย คุณก็กรอกไป
34. คลิ๊ก next และรอต่อไปจนกระทั่งมัน restart ใหม่
35. อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกระทั่งมันขึ้น logo Windows Xp professional
36. ถ้าเครื่องคุณเป็น VGA on Board มันก็จะปรับขนาดจอภาพให้คุณจนขึ้นมองได้ชัดเจนแล้วให้กด OKแต่ถ้าเป็น VGA ต่างหากมันจะข้ามขั้นตอนนี้ไป
37. จะปรากฏหน้าจอ Welcome to………. .ให้คุณคลิ๊ก next ด้านล่างขวา
38. หากคุณต่อ internet มันจะเชื่อมต่อ internet เพื่อ updateแนะนำว่าข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยโดยคลิ๊กที่ skip ซึ่งอยู่ด้านล่างขวา
39. จะปรากฏหน้าจอ ready to register with ….. ให้คุณเลือก No, not this time
40. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา
41. จะปรากฏหน้าจอ who will use this computer? ให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้ซึ่งมีให้กรอก 5 usersแต่คุณกรอกชื่อเดียวได้โดยชื่อนั้นห้ามซ้ำกับชื่อเครื่องที่คุณตั้งไว้ในข้อ 26
42. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา43. คลิ๊ก finish ด้านล่างขวา เป็นอันเสร็จ
44. หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าจอใช้งานเป็นรูปทุ่งหญ้าวิวมี เมฆ ถ้าจำไม่ผิดจะมี icon ตัวเดียวคือ recycle bin อยู่ที่มุมล่างขวา คุณสามารถเพิ่ม icon ใช้งานอื่นๆได้โดย คลิ๊กขวาบริเวณพื้นที่ว่างเลือก properties แล้วคลิ๊กที่แท็บ Desktopแล้วคลิ๊ก Customize Desktop (อยู่ใกล้ๆ ปุ่ม OK) จะปรากฏหน้าต่างDesktop Itemที่แท็บ General ให้คุณคลิ๊กถูกที่ Desktop icon ที่คุณต้องการโชว์บนหน้า Desktopหลังจากนั้นคลิ๊ก OK เป็นอันเรียบร้อยหากซีพียูของคุณมีความเร็ว 700 เมกะเฮิร์ตขึ้นไป และมีหน่วยความจำอย่างน้อย 256 เมกะไบต์(แน่ะนำ 256 เมกะไบต์ขึ้นไปยิ่งดีมากๆๆๆๆๆ) ฮาร์ดดิสก์ 20 กิกะไบต์ขึ้นไปไดรฟ์ซีดีรอม 24X ขึ้นไป การ์ดจอก็ควรจะมีหน่วยความจำสัก 64 เมกะไบต์จะให้ดีเป็นการ์ดจอแบบ AGP 4X ,8Xด้วยล่ะก็ เยี่ยม!โมเด็ม Soft V92 จะให้ดีไปกว่านั้นก็การ์ดเสียง PCI ลำโพงดีๆ สักคู่ ( นะจะบอกให้ๆๆๆๆๆๆๆๆ.........)

Proxy software

AlchemyPoint is a user-programmable mashup proxy server that can be used to re-write web pages, emails, instant messenger messages, and other network transmissions on the fly.
The Apache HTTP Server can be configured to act as a proxy server.
Blue Coat's (formerly Cacheflow's) purpose-built SGOS proxies 15 protocols including HTTPS/SSL, has an extensive policy engine and runs on a range of appliances from branch-office to enterprise.
EZproxy is a URL-rewriting web proxy designed primarily for providing remote access to sites that authenticate users by IP address.
JAP - A local proxy, web anonymizer software connecting to proxy server chains of different organisations
Microsoft Internet Security and Acceleration Server is a product that runs on Windows 2000/2003 servers and combines the functions of both a proxy server and a firewall.
Nginx Web and Reverse proxy server, that can act as POP3 proxy server.
Polipo is a small, fast, open source caching web proxy with some unique features.
Privoxy is a free, open source web proxy with privacy and ad-blocking features.
Proxomitron - User-configurable web proxy used to re-write web pages on the fly. Most noted for blocking ads, but has many other useful features.
SafeSquid Linux based, complete content filtering HTTP1.1 proxy, allows distribution of 'profiled' internet access.
SSH Secure Shell can be configured to proxify a connection, by setting up a SOCKS proxy on the client, and tunneling the traffic through the SSH connection.
Sun Java System Web Proxy Server is a caching proxy server running on Solaris, Linux and Windows servers that supports HTTP/S, NSAPI I/O filters, dynamic reconfiguration, SOCKSv5 and reverse proxy.
Squid cache is a popular HTTP proxy server in the UNIX/Linux world.
Tor - A proxy-based anonymizing Internet communication system.
Varnish is designed to be a high-performance caching reverse proxy.
WinGate is a multi-protocol proxy server and NAT solution that can be used to redirect any kind of traffic on a Microsoft Windows host. It also provides firewall, VPN and mail server functionality. Its WWW proxy supports integrated windows authentication, intercepting proxy, and multi-host reverse-proxying.
WWWOFFLE has been around since the mid-1990s, and was developed for storing online data for offline use.
yProxy is an NNTP proxy server that converts yEnc encoded message attachments to UUEncoding, complete with SSL client support.
Ziproxy is a non-caching proxy for acceleration purposes. It recompresses pictures and optimizes HTML code, among other features.

Proxy server

In computer networks, a proxy server is a server (a computer system or an application program) which services the requests of its clients by forwarding requests to other servers. A client connects to the proxy server, requesting some service, such as a file, connection, web page, or other resource, available from a different server. The proxy server provides the resource by connecting to the specified server and requesting the service on behalf of the client. A proxy server may optionally alter the client's request or the server's response, and sometimes it may serve the request without contacting the specified server. In this case, it would 'cache' the first request to the remote server, so it could save the information for later, and make everything as fast as possible.
A proxy server that passes all requests and replies unmodified is usually called a gateway or sometimes tunneling proxy.
A proxy server can be placed in the user's local computer or at specific key points between the user and the destination servers or the Internet.

Types and functions
Proxy servers implement one or more of the following functions:
Caching proxy server
A proxy server can service requests without contacting the specified server, by retrieving content saved from a previous request, made by the same client or even other clients. This is called caching. Caching proxies keep local copies of frequently requested resources, allowing large organizations to significantly reduce their upstream bandwidth usage and cost, while significantly increasing performance. There are well-defined rules for caching. Some poorly-implemented caching proxies have had downsides (e.g., an inability to use user authentication). Some problems are described in RFC 3143 (Known HTTP Proxy/Caching Problems)

Web proxy
A proxy that focuses on WWW traffic is called a "web proxy". The most common use of a web proxy is to serve as a web cache. Most proxy programs (e.g. Squid, NetCache) provide a means to deny access to certain URLs in a blacklist, thus providing content filtering. This is usually used in a corporate environment, though with the increasing use of Linux in small businesses and homes, this function is no longer confined to large corporations. Some web proxies reformat web pages for a specific purpose or audience (e.g., cell phones and PDAs).


Content Filtering Web Proxy

Further information: Content-control software
A content filtering web proxy server like SafeSquid[1] or DansGuardian helps distribute Internet access while providing control to the administrators over the content delivered. It is usually used in organizations or schools to ensure that Internet usage conforms to the local acceptable use policy. A content filtering proxy must necessarily accommodate the demands of granular rules for Internet access privileges and restrictions across an enterprise.

A content filtering proxy can be used to filter out unwanted content, using methods such as URL or DNS blacklists, URL filtering, MIME filtering, or keyword filtering.

A content filtering proxy may support authentication, to control access to the web. It usually produces logs, either to give detailed information about the URLs accessed by specific users, or to monitor bandwidth usage statistics. It may also communicate to daemon based and ICAP based antivirus software to provide security against virus and other malware by scanning incoming content in real time before it enters the network.

Anonymizing proxy server
An anonymous proxy server (sometimes called a web proxy) generally attempts to anonymize web surfing. These can easily be overridden by site administrators, and thus rendered useless in some cases. There are different varieties of anonymizers.
Access control: Some proxy servers implement a logon requirement. In large organizations, authorized users must log on to gain access to the web. The organization can thereby track usage to individuals.

Hostile proxy
Proxies can also be installed by online criminals, in order to eavesdrop upon the dataflow between the client machine and the web. All accessed pages, as well as all forms submitted, can be captured and analyzed by the proxy operator. For this reason, passwords to online services (such as webmail and banking) should be changed if an unauthorized proxy is detected.

Intercepting proxy server
An intercepting proxy (also known as a "transparent proxy") combines a proxy server with a gateway. Connections made by client browsers through the gateway are redirected through the proxy without client-side configuration (or often knowledge).
Intercepting proxies are commonly used in businesses to prevent avoidance of acceptable use policy, and to ease administrative burden, since no client browser configuration is required.
It is often possible to detect the use of an intercepting proxy server by comparing the external IP address to the address seen by an external web server, or by examining the HTTP headers on the server side.

Transparent and non-transparent proxy server
The term "transparent proxy" is most often used incorrectly to mean "intercepting proxy" (because the client does not need to configure a proxy and cannot directly detect that its requests are being proxied).
However, RFC 2616 (Hypertext Transfer Protocol -- HTTP/1.1) offers different definitions:
"A 'transparent proxy' is a proxy that does not modify the request or response beyond what is required for proxy authentication and identification".
"A 'non-transparent proxy' is a proxy that modifies the request or response in order to provide some added service to the user agent, such as group annotation services, media type transformation, protocol reduction, or anonymity filtering".


Forced proxy
The term "forced proxy" is ambiguous. It means both "intercepting proxy" (because it filters all traffic on the only available gateway to the Internet) and its exact opposite, "non-intercepting proxy" (because the user is forced to configure a proxy in order to access the Internet).
Forced proxy operation is sometimes necessary due to issues with the interception of TCP connections and HTTP. For instance interception of HTTP requests can affect the usability of a proxy cache, and can greatly affect certain authentication mechanisms. This is primarily because the client thinks it is talking to a server, and so request headers required by a proxy are unable to be distinguished from headers that may be required by an upstream server (esp authorization headers). Also the HTTP specification prohibits caching of responses where the request contained an authorization header.


Open proxy server

Main article: open proxy
Because proxies might be used for abuse, system administrators have developed a number of ways to refuse service to open proxies. many IRC networks automatically test client systems for known types of open proxy. Likewise, an email server may be configured to automatically test e-mail senders for open proxies.
Groups of IRC and electronic mail operators run DNSBLs publishing lists of the IP addresses of known open proxies, such as AHBL, CBL, NJABL, and SORBS.
The ethics of automatically testing clients for open proxies are controversial. Some experts, such as Vernon Schryver, consider such testing to be equivalent to an attacker portscanning the client host. [2] Others consider the client to have solicited the scan by connecting to a server whose terms of service include testing.

Split proxy server
A split proxy is a proxy implemented as two programs installed on two different computers. Since they are effectively two parts of the same program, they can communicate with each other in a more efficient way than they can communicate with a more standard resource or tool such as a website or browser. This is ideal for compressing data over a slow link, such as a wireless or mobile data service, as well as for reducing the issues regarding high latency links (such as satellite internet) where establishing a TCP connection is time consuming.
Taking the example of web browsing, the user's browser is pointed to a local proxy which then communicates with its other half at some remote location. This remote server fetches the requisite data, repackages it, and sends it back to the user's local proxy, which then unpacks the data and presents it to the browser in the standard fashion.
Some Web accelerators are proxy servers. Some reduce the quality of JPEG images to speed transmission. Some use a split proxy with special protocols and local and remote caching. (See Google Web Accelerator.)

Reverse proxy server

Main article: reverse proxy
A reverse proxy is a proxy server that is installed in the neighborhood of one or more web servers. All traffic coming from the Internet and with a destination of one of the web servers goes through the proxy server. There are several reasons for installing reverse proxy servers:
Security: the proxy server is an additional layer of defense and therefore protects the web servers further up the chain.
Encryption / SSL acceleration: when secure web sites are created, the SSL encryption is often not done by the web server itself, but by a reverse proxy that is equipped with SSL acceleration hardware. See Secure Sockets Layer.
Load balancing: the reverse proxy can distribute the load to several web servers, each web server serving its own application area. In such a case, the reverse proxy may need to rewrite the URLs in each web page (translation from externally known URLs to the internal locations).
Serve/cache static content: A reverse proxy can offload the web servers by caching static content like pictures and other static graphical content.
Compression: the proxy server can optimize and compress the content to speed up the load time.
Spoon feeding: reduces resource usage caused by slow clients on the web servers by caching the content the web server sent and slowly "spoon feeds" it to the client. This especially benefits dynamically generated pages.
Extranet Publishing: a reverse proxy server facing the Internet can be used to communicate to a firewalled server internal to an organization, providing extranet access to some functions while keeping the servers behind the firewalls.

Circumventor
A circumventor is a method of defeating blocking policies implemented using proxy servers. Ironically, most circumventors are also proxy servers, of varying degrees of sophistication, which effectively implement "bypass policies".
A circumventor is a web-based page that takes a site that is blocked and "circumvents" it through to an unblocked web site, allowing the user to view blocked pages. A famous example is 'elgooG', which allowed users in China to use Google after it had been blocked there. elgooG differs from most circumventors in that it circumvents only one block.
Students are able to access blocked sites (games, chatrooms, messenger, offensive material, internet pornography, social networking, etc.) through a circumventor. As fast as the filtering software blocks circumventors, others spring up. It should be noted, however, that in some cases the filter may still intercept traffic to the circumventor, thus the person who manages the filter can still see the sites that are being visited.
Circumventors are also used by people who have been blocked from a web site.
Another use of a circumventor is to allow access to country-specific services, so that Internet users from other countries may also make use of them. An example is country-restricted reproduction of media and webcasting.
The use of circumventors is usually safe with the exception that circumventor sites run by an untrusted third party can be run with hidden intentions, such as collecting personal information, and as a result users are typically advised against running personal data such as credit card numbers or passwords through a circumventor.

At schools and offices
Many work places and schools are cracking down on the web sites and online services that are made available in their buildings. Since circumventors are used to bypass censors in computers, web sites like Orkut, MySpace, Bebo, Xanga, Silkroad Online, YouTube, Miniclip, Facebook, Gaiaonline and other non-work or school related social web sites have become targets of mass banning.
Proxy Web server creators have become more clever allowing users to encrypt links, and any data going to and from other web servers. This allows users to access websites that would otherwise have been blocked.
A special case of web proxies are "CGI proxies". These are web sites that allow a user to access a site through them. They generally use PHP or CGI to implement the proxying functionality. These types of proxies are frequently used to gain access to web sites blocked by corporate or school proxies. Since they also hide the user's own IP address from the web sites they access through the proxy, they are sometimes also used to gain a degree of anonymity, called "Proxy Avoidance".


Managed 'clean-pipe' proxy servers
Used in an increasing number of work-places, especially those with multiple Internet breakout points. Currently an emerging technology to rival in-house, hardware solutions. Many consider this a branch of Software as a Service or Security as a Service. Providers include AT&T and ScanSafe


Risks of using anonymous proxy servers
In using a proxy server (for example, anonymizing HTTP proxy), all data sent to the service being used (for example, HTTP server in a website) must pass through the proxy server before being sent to the service, mostly in unencrypted form. It is therefore possible, and has been demonstrated, for a malicious proxy server to record everything sent to the proxy: including unencrypted logins and passwords.
By chaining proxies which do not reveal data about the original requester, it is possible to obfuscate activities from the eyes of the user's destination. However, more traces will be left on the intermediate hops, which could be used or offered up to trace the user's activities. If the policies and administrators of these other proxies are unknown, the user may fall victim to a false sense of security just because those details are out of sight and mind.
The bottom line of this is to be wary when using proxy servers, and only use proxy servers of known integrity (e.g., the owner is known and trusted, has a clear privacy policy, etc.), and never use proxy servers of unknown integrity. If there is no choice but to use unknown proxy servers, do not pass any private information (unless it is properly encrypted) through the proxy.
In what is more of an inconvenience than a risk, proxy users may find themselves being blocked from certain Web sites, as numerous forums and Web sites block IP addresses from proxies known to have spammed or trolled the site.

วันอังคาร, มีนาคม 04, 2551

วิธีใส่ Skin ใน Hi5

- เข้าสู่ระบบแล้วคลิ๊กที่ My Profile ( โปรไฟล์ของฉัน )
- แล้วไปที่ Change my Skin ( เปลี่ยนสกินของฉัน )
- ดูด้านขวาบนเกือบสุด กดที่คำว่า สร้างสกินสำหรับโปรไฟล์

เข้าไปแล้วจะพบส่วนประกอบดังนี้x Name (ชื่อสกิน)

x Page Global (ค่าต่างๆ ของทั้งหน้า)
- Page Background (พื้นหลังของทั้งหน้า)
- - Background Color (สีพื้นหลังของทั้งหน้า)
- - Position (ตำแหน่งของพื้นหลังว่าให้เกาะตรงไหนของหน้าเพจ)
- - Attachment (เลือก Scroll เวลาเลื่อนเพจพื้นหลังจะเลื่อนไปเรื่อยๆ เลือก Fixed เวลาเลื่อนเพจพื้นหลังจะอยู่ที่เดิม)
- - Repeat (ซ้ำรูปพื้นหลัง ในกรณีรูปเล็กๆ แล้วสามารถต่อกันได้อย่างสวยงามก็ควรเลือกตรงนี้)
- Text Headers (ค่าต่างๆ ของสีตัวหนังสือหัว)
- - Header Font (ฟอนต์ตัวหนังสือหัว)
- - Text Color (สีตัวหนังสือหัว)
- Page Colors (ค่าสีต่างๆ ของหน้าเพจ)
- - Text Color (สีตัวหนังสือ)
- - Link Color (สีลิงค์ตัวหนังสือ)

x Main Section (ค่าต่างๆ ของโปรไฟล์)
- Section Headers (ค่าต่างๆ ของส่วนหัว ที่แสดงชื่อ) (ภาพพื้นหลังของส่วนหัว ขนาดไม่เกิน 956x35px)
- - Background Color (สีพื้นหลังของส่วนหัว)
- - Text Color (สีตัวหนังสือของส่วนหัว)
- Section Navigation (ค่าต่างๆ ของส่วนลิงค์) (ภาพพื้นหลังของส่วนลิงค์ ขนาดไม่เกิน 956x30px)
- - Background Color (สีพื้นหลังของส่วนลิงค์)
- - Link Color (สีตัวหนังสือของส่วนลิงค์)
- - Section Background (ค่าต่างๆ ของส่วนรายละเอียดผู้ใช้) (ภาพพื้นหลังของส่วนรายละเอียด ขนาดไม่เกิน 956x500px)
- Background Color (สีพื้นหลังของส่วนรายละเอียดผู้ใช้)
- Position (ตำแหน่งของรูปพื้นหลังของส่วนรายละเอียดผู้ใช้ บน กลาง ล่าง)
- Repeat (การซ้ำของรูปพื้นหลัง)
- Text Color (สีตัวหนังสือของส่วนรายละเอียดผู้ใช้)
- - Footer Background (ภาพพื้นหลังของส่วนล่างสุด ขนาดไม่เกิน 956x60px)

x Mini Sections (ค่าต่างๆ ของหน้าต่างเล็กๆ พวกคอมเมนท์ เกี่ยวกับฉัน จิปะถะ)
- Section Headers (รูปพื้นหลังของส่วนหัว)
- - Background Color (สีพื้นหลังของส่วนหัว)
- - Header Font (ฟอนต์ของส่วนหัว)
- - Text Size and Color (ขนาดและสีตัวหนังสือ)
- Section Navigation (รูปพื้นหลังของส่วนลิงค์)
- - Background Color (สีพื้นหลังของส่วนลิงค์)
- - Link Color (สีลิงค์)
- Section Background (รูปพื้นหลังของส่วนรายละเอียด)
- - Background Color (สีพื้นหลังของส่วนรายละเอียด)
- - Position (ตำแหน่งของรูปพื้นหลังของส่วนรายละเอียด)
- - Repeat (การซ้ำ)
- Footer Background (รูปพื้นหลังของส่วนล่างสุด)หลังจากนั้น

ให้กดบันทึก

รหัส Error ของโปรแกรม MSN พร้อมวิธีแก้ปัญหา

ช่วงนี้ MSN อาจจะมีปัญหาบ่อยหน่อยนะครับ
"เกิดจากปัญหา สายเคเบิ้ลใต้น้ำขาด ที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ทำให้การใช้บริการเวบไซด์ต่างๆ โดยเฉพาะต่างประเทศไม่สมบูรณ์ รวมถึงหากเป็นวันหยุด จะทำให้มีคนแย่งกันเข้าใช้บริการมาก การเข้าใช้บริการนั้น จึงไม่ 100% ทำให้มีคนส่วนหนึ่งไม่สามารถใช้บริการได้"

รหัส ErrorCode และ วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น (สำหรับเวอร์ชั่น 8)

ErrorCode : 800b001
สาเหตุ: เกิดจาก MSN หาไฟล์พวก .dll บางตัวไม่เจอ ทำให้ไม่สามารถ sign in ได้
วิธีแก้:
- โหลดโปรแกรมนี้ไปแล้วกดเปิดครับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat

ErrorCode : 81000362
สาเหตุ: เกิดจากที่ตัว IE เปิด Work OffLine ไว้คับ
วิธีแก้:
- ตรวจเช็คการตั้งค่าใน IE และ MSN
- เช็คว่า IE OffLine ไว้หรือป่าว
- เรียก Internet Explorer ขึ้นมาคับ
- กดที่เมนู File แล้วดูที่ Work Offline ว่ามีติ๊กไว้หรือป่าวถ้ามีให้เอาออก
- ตรวจเช็คการตั้งค่า Proxy ใน IE
- เรียก Internet Explorer ขึ้นมาคับ
- กดที่เมนู Tools --> Internet Options
- คลิ๊กที่แท็บ Connections กดปุ่ม LAN Settings คับ
- เอาตัวติ๊กทั้งหมดออกคับ - กด OK 2 ที

ErrorCode : 80048820
สาเหตุ: เกิดจากวันที่ของเครื่องไม่ถูกต้อง
วิธีแก้: - โหลดโปรแกรมนี้ไปแล้วกดเปิดครับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat

ErrorCode : 80072ee7 , 80048848
สาเหตุ: เกิดจากปัญหาของ Firewall หรือการติดต่อออกอินเตอร์เน็ต มีปัญหา
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ

ErrorCode : 80072eff , 80070193 , 800701f7
สาเหตุ: เป็นปัญหาจาก .NET Messenger Service มีปัญหา ซึ่งอาจจะเกิดจากตัว .Net server
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว

ErrorCode : 80072efd
สาเหตุ: ปัญหานี้เกิดจาก ในส่วนของ windows update
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- Register DLL files และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat
- Internet Explorer ต้องสนับสนุน การเข้ารหัสแบบ 128 bit ให้ตรวจสอบ โดยดูได้ด้วยการคลิกเมนู Help > About ใน IE (ถ้าไม่ใช่แนะนำให้ลง IE6 ใหม่อีกรอบคับ)

ErrorCode : 80072f0d
สาเหตุ: เกิดจากที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ security ของ MSN ไม่ทำงาน
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- Register DLL files และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับhttp://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat
- เปิด Internet Explorer ไปที่เมนู Options -> Internet Options.. -> Advancd แล้วดูที่หัวข้อ use SSL 2.0 และ use SSL 3.0 ให้ติ๊กถูกทั้ง 2 อัน( ถ้าทำข้างบนยังไม่ได้ให้ทำด้านล่างต่อ ) - ไปที่ Start -> Run พิมพ์ regsvr32 initpki.dll กด Enter แล้วรอครับอาจจะนานหน่อยเป็น 10 นาที...

ErrorCode : 80070190 , 80072745
สาเหตุ: เกิดจากปัญหาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- Register DLL files และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว

ErrorCode : 80070301
สาเหตุ: เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว
- ให้ตรวจสอบ user name และ password ให้แน่ใจด้วยการกรอกใหม่อีกครั้งระวังตัวพิมพ์เล็กและใหญ่ด้วยนะคับ - ไปที่ Start -> Run พิมพ์ %appdata%microsoft กด Enter และลบโฟล์เดอร์ชื่อ MSN Messenger (Emo และ DP ที่เพิ่มเข้าไปจะหายไปหมด)

ErrorCode : 81000303
หรือ " Microsoft .NET Passport has made your account temporarily unavailable to help prevent other users from guessing or obtaining your password."
สาเหตุ:
เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service หรือ รหัสผ่านผิด
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- Register DLL files และตั้งวันที่ใหม่ โดยใช้ไฟล์นี้คับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว
- ให้ตรวจสอบ user name และ password ให้แน่ใจด้วยการกรอกใหม่อีกครั้งระวังตัวพิมพ์เล็กและใหญ่ด้วยนะคับ

ErrorCode : 81000306
สาเหตุ: เกิดจากปัญหา ของ .NET Messenger Service หรือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
วิธีแก้:
- ตรวจเช็ค Internet ว่า Connect อยู่หรือป่าว...
- ปิด Firewall ทั้งของ Windows , Router และโปรแกรม Antivirus ต่างๆ
- เช็ค .Net Messenger Service server อาจมีปัญหา ลองคลิ๊กที่นี่เพื่อตรวจสอบ http://messenger.msn.com/Status.aspx ว่า Server รันอยู่หรือป่าว
- อาจถูกบล็อคการใช้งานจากผู้ดูแลระบบ ลองติดต่อ admin คับ

ErrorCode : 81000314
สาเหตุ: ไฟล์ dll บางไฟล์ของ MSN ยังไม่ได้ทำการ Register
วิธีแก้:
- โหลดโปรแกรมนี้ไปแล้วกดเปิดครับ http://www.thaimess.com/downloads/msnallreg.bat

ErrorCode : 80004005 สาเหตุ: มีข้อมูลค้างอยู่ในระบบ
วิธีแก้:
- ให้เข้าไปที่ ToolS > Internet Options ใน Internet Explorer นะครับ
- ด้านบนให้เลือกไปที่ Content ครับ แล้ว กด Clear SSL State ทิ้งไป
- ให้ไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์ว่า "%userprofile%\Local Settings\Application Data\Microsoft\Windows Live Contacts" แล้วกด Enter

เปิดตัว Intel Atom Processor

ยิ่งเล็กยิ่งดี: สถาปัตยกรรมใหม่จากอินเทล x86 ที่เล็กกว่า 1 วัตต์ 10 วัตต์, 4 วัตต์ หยุดแค่นั้นทำไม ซีพียูใหม่จากอินเทลกินไฟแค่ 0.6 วัตต์เท่านั้น
เราได้เห็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วนะครับสำหรับ Penryn 5.5 วัตต์ และ 4 วัตต์ Diamondville อินเทลไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ อินเทลได้เปิดตัวซีพียูใหม่ เล็กจิ๋ว กินไฟแค่ 0.6 วัตต์เท่านั้นเมื่อเมษายนปีที่แล้วนี้ิอินเทลได้เปิดตัว Silverthorne ซึ่งออกแบบมาสำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กไปแล้ว และความเปลี่ยนแปลงใหม่ในสัปดาห์นี้ ที่เราๆท่านๆจะได้เห็นในอนาคตก็คือ Intel Atom Processor ซึ่งสร้างจาก Silverthorne สำหรับอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กเป็นพิเศษสำหรับโมบายอินเตอร์เน็ตIntel Atom Processor นั้นจะแบ่งออกเป็นสองสายครับคือ Diamonville Base และ Silverthorne Base โดยตัวแรกนั้นจะสร้างขึ้นสำหรับ Notebook และ Desktop โดยจะมีให้เลือกทั้งแบบคอร์เดียวและสองคอร์เลยครับ


Atom Processor ที่สร้างจาก Diamondville นั้นจะกินไฟเพียง 4 วัตต์ และ 8 วัตต์สำหรับแบบสองคอร์ โดยจะมีชื่อทางการค้าว่า Atom 230 ความเร็ว 1.6GHz บัส 533 เมกกะเฮิร์ต L2 ขนาด 512K ส่วน Atom Processor ที่สร้างจาก Silverthorne นั้นจะกินไฟเพียงแค่ 0.6 วัตต์ ถึง 2.5 วัตต์เท่านั้น โดยมีความเร็วมากถึง 1.8GHz เลยทีเดียวIntel ยืนยันว่า Diamondville นั้นจะเป็นซีพียูจากอินเทลตัวแรกที่สนับสนุนระบบ Simultaneous Multi-threading (SMT) นับจาก Pentium 4 และ Silverthorne นั้นจะสนับสนุน SMT ทั้งหมดIntel กล่าวว่า Atom Processor แบบคอร์เดียวนั้นจะมีขนาดเพียง 25 ตารางมม. โดยสามารถจุทรานซิสเตอร์ได้ถึง 47 ล้านตัว หากนำมาเปรียบเทียบแล้ว Intel Atom 11 ตัวจะมีขนาดเท่า Core 2 แบบ 45 นาโนฯ 1 ตัวส่วนระบบ Menlow นั้นจะมีชื่อทางการค้าว่า Intel Centrino Atom โดยจะมี Intel 945GSE เป็นชิพเซ็ตและไร้สายเราอาจจะได้เห็น Intel Atom Processor ใน Eee PC หรือ HP 2133 sub notebook ในเร็วๆนี้ก็เป็นได้

วันอังคาร, มกราคม 08, 2551

AI