วันพุธ, สิงหาคม 30, 2549

"ฝนตกวันอาทิตย์"

เดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมปีนี้อากาศร้อนและอบอ้าวมาก ผมพยายามไม่ขี่จักรยานไปไหนมาไหนหลัง 10 โมงเช้า เพราะแสงแดดที่สว่างเกินไป และร้อนเกินไป แทบทุกวันแสงแดดกำลังย่างต้นไม้ ย่างหลังคาบ้าน ย่างทุกคนให้สุกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังเที่ยงไม่ค่อยมีผู้คนตามท้องถนน เมืองเล็กๆ คล้ายว่าจะเป็นเมืองร้าง มันร้างเพราะแสงแดดและความร้อน คนเราอยู่บ้านเพราะรักบ้านและอยู่บ้านเพราะแดดร้อนด้วยเช่นกัน
คงมีผู้คนจำนวนมากภาวนาให้ฝนตก เพราะฝนตกแล้วแดดก็ไม่ค่อยออก และฝนจะทำให้โลกตรงที่ผม (หรือคุณ) อยู่เย็นขึ้น ไมใช่ต้นข้าวเท่านั้นที่คอยฝน แต่คุณก็คอยฝนอยู่เหมือนกัน บางวันมีแต่ลมแรงๆและฝุ่น แล้วก็มีฝนแค่นิดหน่อยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของคน พืชและสัตว์ คนเรากับสายฝนมักเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่รู้สึกว่าตกมากเกินไป ก็รู้สึกว่าตกน้อยเกินไป
เดือนเมษายนและต้นพฤษภาคม ผมกลายเป็นนักดูท้องฟ้า ดูว่าเมฆมากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าเมฆมาก โอกาสที่จะมีฝนก็มากตาม หลายต่อหลายวันทีเดียวที่ท้องฟ้าว่างเมฆ ผมรู้สึกว่าในบางขณะ-เมฆและฝนสัมพันธ์กับความหวังของคนเรา อย่างน้อยเราก็หวังฝนจะนำความเย็นฉ่ำมาให้แต่ฝนและเมฆชนิดที่ชวนให้สิ้นหวังก็สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ
ฝนตกหนักระหว่างที่กำลังเดินทางไปทำงานหรือเขียนหนังสือ ฝนเวอร์ชันพายุระหว่างอยู่บนเกาะและต้องการกลับฝั่ง ฝนพร่ำๆยืดเยื้อในวันอาทิตย์ ระหว่างที่ใครสักคนเพิ่งเดินออกไปจากชีวิต และเรายังทำใจไม่ได้
อากาศร้อนทำให้จินตนาการและความฝันลดน้อยลง ทั้งสองสิ่ง (ฝันและจินตนาการ) ต้องการอุณหภูมิที่พอเหมาะในการงอกงาม อุณหภูมิ 38-40 องศาเซลเซียสนั้น ยากที่จะทำให้ความฝันแตกดอกออกผล อากาศร้อนและความอบอ้าวทำให้จินตนาการไม่มีที่พักอาศัย แสงแดดกลางฤดูร้อนไม่ชวนฝันเหมือนแดดหน้าหนาว ที่บ้านผมนั้นไม่ทันจะ 9 โมงเช้า แดดก็ส่องมาถึงประตูห้องนอนแล้ว ขณะที่บางเดือนแสงแดดอยู่แค่ประตูหลังบ้านด้วยซ้ำ ผมว่าแดดนั้นมีอิทธิพลต่อความฝันและความจริงในชีวิตคนเราไม่น้อยเลย
แต่เรามักให้อภัยแดดที่ชายทะเลก็มีร่มเงาให้หลบแดด อย่างที่บางแสนนั้นจะมีร่มคันโตๆและเก้าอี้ผ้าใบตั้งอยู่เป็นระเบียบเต็มไปหมด มองแล้วดูเหมือนชุมชนแออัดที่แดดส่องไม่ถึง เนื่องจากร่มจำนวนมากคือหลังคาขนาดใหญ่
30บาทต่อคน สำหรับร่มและเก้าอี้ผ้าใบ จะนั่งหรือนอนนานแค่ไหนก็ได้ 20 บาท ถ้าไปหลายคนและพ่อค้าเมตตา พ่อค้าว่าไม่มีใครนั่งทั้งวันหรอก พวกเขาย่ำคำพูดนี้บ่อยๆอย่างสบายใจ
ผมไปบางแสนมาแล้วทุกฤดู และน่าจะเคยอยู่ที่บางแสนครบทั้ง 7 วัน บางครั้งไปแบบค้างคืน บางครั้งอยู่แบบเช้าไป-ดึกๆ กลับเคยนั่งเขียนงานที่ชายหาดในวันอาทิตย์เพราะจำเป็นต้องส่งให้ได้ในวันจันทร์ เคยไม่หลับไม่นอนในคืนวันเสาร์ เคยอยู่แค่ 2-3 ชั่วโมงในวันอังคาร เคยไป ช่วยเขาถ่ายแฟชั่นในวันพุธหรือพฤหัสก็ไม่แน่ใจ ช่วงหนึ่งของชีวิตเป็นช่วงที่เอะอะก็บางแสน....บางแสน ครั้งแล้วครั้งเล่า คนเรานั้นจะมีการไปสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ (บ่อยๆ) ระยะหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ....... แล้วแต่สถานการณ์ของชีวิตจะกำหนด
ทะเลเป็นพื้นที่สำหรับหลบร้อนชั้นดี ทุกฤดูร้อนจะมีผู้คนจำนวนมากอพยพมาทะเล ทั้งความจริงร้อนๆไว้ที่บ้านและมุ่งหน้าสู่ทะเลบ้าง
มา จากภาคอีสาน และภาคเหนือ อยู่ไกลแค่ไหนทะเลก็ส่งแรงดึงดูดไปถึง ผมเคยนึกเล่นๆว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีชายหาดจะเป็นอย่างไรบ้าง? ครั้งหนึ่งตอนต้นพฤษภาคม ผมเคยอยู่ที่ทะเลเสม็ด เราไปกันตั้งแต่วันศุกร์ และคิดว่าจะกลับวันอาทิตย์ แต่เกิดอาการติดลมทะเลก็เลยเลื่อนไปกลับจันทร์ ฝนตกหยุด.....ตกหยุด ตั้งแต่มาถึง และตกหนักในวันอาทิตย์
ผมกับเพื่อนๆนั่งพูดคุยและดื่มกินกันที่ร้านอาหารริมหาด รู้สึกดีที่ไม่ต้องแยกย้ายกันในวันอาทิตย์ รู้สึกดีกับลมและฝนรู้สึกดีกับวันอาทิตย์ผมพยายามเดินออกไปให้เปียกฝนบ่อยๆชวนเพื่อนคนหนึ่งออกไปดื่มเบียร์กลางฝน แปลกดีเหมือนกันที่บางครั้งเรากลัวฝนจะเปียกตัว แต่บางครั้งเราก็อยากเปียกฝน
ใครสักคนบอกว่า น่าจะมีออฟฟิศอยู่ที่ทะเลนะ ทำหนังสือกันที่ทะเลนี่แหละ อีกคนบอกว่า อย่าฝัน อย่าฝัน เคยมีคนพยายามแล้วแต่ล้มเหลว เพราะกอง บ.ก. เอาแต่ออกทะเลกันหมด แล้วพวกเราก็หัวเราะกัน อะไรนิดอะไรหน่อยก็หัวเราะ บางคำพูดไม่ขำเลยก็กลายเป็นขำที่ขำเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นขำมาก ผมเรียกเหตุการณ์ทำนองนี้ว่าความสุข และมันได้กลายเป็นความทรงจำไปเรียบร้อยแล้ว
จำได้ไม่หมดหรอกครับ บางทีก็ไม่ได้นึกด้วยซ้ำ และเราไม่นึกล่วงหน้าว่าจะนึกถึงเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆเมื่อไร มีหลายเรื่องในชีวิตด้วยซ้ำที่เราลืมไปเลยอย่างถาวร
เดือนเมษายนและต้นพฤษภาคมปีนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก ผมกลายเป็นนักดูท้องฟ้าที่อยู่ไกลจากทะเลเหลือเกิน
จบบริบูรณ์

0 ความคิดเห็น: