การแบ่ง IP Address ออกเป็นหลายระดับ ความจริงก็แบ่งตามความใหญ่ ของเครือข่ายนั่นเอง
Network Class | Subnet mask | Network Addresses |
A | 255.0.0.0 | 0.0.0.0-127.255.255.255 |
B | 255.255.0.0 | 128.0.0.0-191.255.255.255 |
C | 255.255.255.0 | 192.0.0.0-223.255.255.255 |
Multicast | 240.0.0.0 | 224.0.0.0-239.255.255.255 |
Class A Network
ระบบเครือข่ายคลาส A มีแอดเดรสเริ่มต้นตั้งแต่ 0 จนถึง 127 (Network Portion) ตัวเลขที่เหลืออีกสามส่วน เป็น host protion จะเห็นว่าเป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่มาก สามารถมีอุปกรณ์ (router, host ฯ) ต่างๆ ไม่ซ้ำกันได้ถึง 16 ล้านตัว ระบบเครือข่ายคลาส A ได้ถูกกำหนดให้กับบริษัทต่าง จนหมดไปนานแล้ว
Class B Network
มีแอดเดรสเริ่มตั้งแต่ 128 จนถึง 192 มีระบบเครือข่ายคลาส B อยู่ 16,000 เครือข่าย ในแต่ละเครือข่าย จะมีแอดเดรสที่ไม่ซ้ำกันอยู่ 64,000 แอดเดรส และก็ถูกกำหนดให้กับองค์กร หรือบริษัทใหญ่ๆ หมดแล้วเช่นกัน เหตุที่เครือข่ายนี้ไม่ใหญ่เท่า เครือข่ายคลาส A เนื่องจากถูกกำหนดโดย Subnet mask
Class C Network
มีแอดเดรสเริ่มตั้งแต่ 192 จนถึง 223 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 ล้านเครือข่าย แต่ละเครือข่ายมีอุปกรณ์ได้สูงสุด 254 ตัว
Multicast
หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น เครือข่ายคลาส D มีแอดเดรสเริ่มต้นตั้งแต่ 224 จนถึง 239 สำหรับใช้งานในลักษณะเหมือนกับ วิทยุหรือโทรทัศน์ คือส่งออกไปอย่างเดียว ใครจะรับก็ไปดักรับเอา ส่วนแอดเดรส 240 ถึง 247 เป็นของระบบเครือข่ายคลาส E ซึ่งในส่วนนี้เก็บไว้ใช้ในอนาคต
Subnet
เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่าย ซึ่งเหมือนกับแยกตัวออกมาต่างหาก แต่จะมีจุดเชื่อมต่อเพียงจุดเดียวโดยผ่าน router สิ่งที่ช่วยให้เราแยกตัวออกมาจากเครือข่าย คือ subnet mask แต่คอมพิวเตอร์ใน subnet mask เดียวกันสามารถติดต่อกันได้โดยตรง ตัวอย่าง mask ของเครือข่ายคลาส C คือ 255.255.255.0 ขอยกตัวอย่างให้ดูเช่น IP address ของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเป็น 192.168.1.20 คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ก็จะสามารถติดต่อกับ คอมพิวเตอร์ที่มี IP ตั้งแต่ 192.168.1.0 - 192.168.1.255 จะไม่สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ 192.168.2.1 ได้เลยเพราะอยู่คนละ subnet
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น